เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังจะอาบน้ำออกไปข้างนอกพอดี จ่าอ๊อดโทรมาเร่งผมอีกแล้ว
ครั้งก่อนผมขอติดตามไปด้วย และตั้งแต่นั้นมาผมกับพี่อ๊อดและเพื่อนอีกหลายคนก็ได้ไปร่วมใจกันทำประโยชน์ให้สังคม โดยไม่หวังอะไรตอบแทน
เราเต็มใจช่วยอย่างจริงใจทุกคน เพราะในแต่ละคืนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเยอะมาก
มีทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บ หรือแม้แต่ไปรับศพที่นิติเวช รวมถึงไปส่งที่วัด
และในครั้งนี้...
...ที่เกิดเหตุคือโรงงานตุ๊กตาที่พุทธมณฑลสายสี่ ผมก็ไปยังที่เกิดเหตุด้วย
แต่ผมไปถึงขณะที่เพลิงสงบแล้ว แต่ด้านในยังร้อนระอุไปหมด พวกเราจึงทำอะไรกันไม่ได้มาก
...ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องจักรช่วยในการค้นหาซากศพ ผู้เสียชีวิต ซึ่งในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตจำนวนไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
ซากศพเป็นจำนวนมากนั้น...ต้องนำส่งนิติเวชเพื่อชันสูตร ก่อนจะนำไปทำพิธีทางศาสนา
และในวันรุ่งขึ้น ตอนประมาณเที่ยงๆ พี่อ๊อดก็โทรตามผมอีกรอบ บอกให้ออกมาหาพี่เค้าที่บ้าน และก็ไม่พูดอะไร พูดจบก็วางโทรศัพท์ไป...
...แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ผมเลยรีบออกไปหาพี่อ๊อดทันที
...บ้านพี่อ๊อดอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก เดินไปไม่ไกลก็ถึง...
"เออ...เมื่อตะกี้นี้พี่รุ่งเขาโทรมาบอกจะมารับ"
พี่อ๊อดว่า
"ไปไหนหรอพี่"
"ยังไม่รู้เลย เค้าบอกให้แต่งตัวรอไว้...เออ...เอ็งอย่าลืมเอาชุดมูลนิธิไปด้วยล่ะ"
"แล้วนี่...เราจะไปไหนกันพี่รุ่ง"
ผมหันไปถาม
"อ๋อ...พอดีเมื่อวานพี่เอาศพไปส่งที่นิติเวช ญาติเค้าก็เลยให้พี่มารับศพไปส่งที่วัดให้หน่อย ก็เลยช่วยๆเค้านะ"
เราใช้เวลาเดินทางไม่นาน...
...แล้วพวกเราก็มาถึงนิติเวช ซึ่งมีญาติของผู้เสียชีวิตมารอ อยู่ก่อนแล้ว พี่รุ่งจึงให้ญาติผู้เสียชีวิตไปติดต่อ เพื่อรับศพ สักพักพี่รุ่งเรียกผม
กับพี่อ๊อดเดินตามเข้าไปรับศพ
...ผมเข้าไปเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ตกใจมาก
...ศพคนตายมากมายเหลือเกิน มีทั้งที่อยู่ในลิ้นชัก และในเปลนอกลิ้นชัก
วางเรียงรายเต็มไปหมด ญาติผู้ตายชี้บอก แล้วพวกผมก็ยอกออกมาทั้งเปล
ใส่ลงโลงที่ญาติเตรียมมา
...ก่อนที่จะยกใส่โลงนั้น...เราต้องสอดด้วยผ้าพลาสติกเสียก่อน เพราะศพนั้นเริ่มมีน้ำเหลืองออกมาแล้ว
พอถ่ายใส่โลงเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยปิดฝาโลง ขณะตอกตะปูนั้นผมเห็นที่ปากเขาท่องคาถาอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นก็นำโลงขึ้นรถ และมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดสุพรรณบุรี
มีรถหลายคันมารับศพกันเป็นแถว และก่อนจะขับรถออกไปนั้น รถทุกคันต้องบีบแตรเสียงลั่นสามครั้ง
ผมไม่ทราบว่าบีบทำไม จึงตัดสินใจถามพี่รุ่งซะเลย
"พี่รุ่งครับ...ทำไมต้องบีบแตรด้วยล่ะ"
"เค้าว่ากันว่า บีบแตรเพื่อเรียกวิญญาณผู้ตายให้ตามร่างไปไงล่ะ"
คำตอบของพี่รุ่งทำให้ผมหายสงสัย และนั่งนิ่งไม่พูดอะไรต่ออีก
...หลังจากนั้นไม่นานเราก็มาถึงวัด
พวกเราและญาติๆ ต่างก้ช่วยกันยกโลงลงจากรถไปไว้ในศาลา สัปเหร่อจัดแจงงัดโลง เปิดฝาโลงออกเพื่อจะนำร่างออกมาทำพิธีอาบน้ำศพ
พวกผมและญาติผู้เสียชีวิตก็ช่วยกันยกผ้าพลาสติกที่รองศพผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา
ร่างกายนั้นส่งกลิ่นโชยขึ้นทันที รวมทั้งมีน้ำเหลือง ไหลนองเต็มผ้าพลาสติกเต็มไปหมด
จากนั้นเหล่าญาติพี่น้องก็ช่วยกันอาบน้ำแต่งตัวให้กับศพ ลุงแก่ๆ คนหนึ่งเดินปรี่เข้ามาที่พวกผม และขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่เลยทีเดียว
และเย็นนั้นพวกเราก็กลับมาที่ศูนย์บางบัวทองเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อ ในค่ำนั้นทุกคนในจุดทยอยกันมาเรื่อยๆ ส่วนพี่อ๊อดนั่งฟัง ว. อย่างตั้งใจ พวกผมที่ทยอยมา กันจนครบนั้นก็นั่งคุยเฮฮากันไปตามเรื่องตามราว
เวลาผ่านไปจนเที่ยงคืน ทุกคนที่อยู่ในศูนย์นั้น เริ่มผ่อนเปลือกตาลงทีละคน คืนนั้นเหตุการณ์สงบเงียบมาก รวมถึงในศูนย์ด้วย จนกระทั่งเหลือผมกับพี่อ๊อดสองคนที่ยังคงนั่งฟังวิทยุอยู่ด้วยกัน
"เฮ้ย...เอ็งฟังวิทยุแทนสักเดี๋ยว ข้าปวดท้องจะไปเข้าห้องน้ำ"
"ตามสะดวกเลยพี่อ๊อด"
พี่อ๊อดพูดจบ ก็คว้าบุหรี่ไฟแช็คไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ทางด้านหลัง
ซึ่งด้านหลังนั้นก็จะเป็นที่เก็บโลง และผ้าดิบ ถุงมือและอะไรต่างๆ ที่คนบริจาคไว้
ผมนั่งไปเรื่อยๆ ก็มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับมีคนมองผมอยู่อะไรทำนองนั้น พอผมเหลือบตาไปมอง ก็เหมือนกับมีเงาอะไรดำๆ วึ้บ...ไป...ผมหันกลับมาที่หน้าวิทยุ ทำเป็นไม่สนใจ คงคิดไปเองละมั้ง...แต่จู่ๆ ก็มีเสียง
"ตึ้ง...ง...ง"
ดังมาจากทางห้องน้ำ ผมเห็นพี่อ๊อดรีบเดินหน้าเซ็งออกมา ผมถามพี่อ๊อดทันทีว่ามีอะไร
"อ้าว...ก็เอ็งหรือใครล่ะที่ไปเคาะประตู...เร่งข้าอยู่ได้"
พี่อ๊อดพูดแบบหงุดหงิดๆนิดหน่อย
"หา...พี่อ๊อด ผมยังไม่เห็นมีใครเดินเข้าไปด้านหลังเลย"
ผมปฏิเสธเสียงแข็ง แต่พี่อ๊อดก็ไม่เชื่อ
"นี่ไอ้ปู...*********ไม่ต้องมาล้อเล่นอะไรกับกูแบบนี้เลยนะ"
พี่อ๊อดทำท่าส่ายหัวไม่เชื่อเด็ดขาด...ผมเลยบอกไปอีกครั้ง
"พี่อ๊อด...ฟังผมนะ ผมยังไม่ได้ลุกจากเก้าอี้ตวนี้เลยด้วยซ้ำ"
ถึงตรงนี้ ผมไม่ได้ตลกด้วยแล้ว ท่าทางผมคงซีเรียสจริงจังพี่อ๊อดเลยอ่อนเสียงลงบ้าง
"อ้าว...แล้วเอ็งได้ยินเสียงเคาะไหม?"
ผมบอกว่า
"ก็ได้ยินแต่ตอนพี่อ๊อดเปิดประตูกระแทกๆ แล้วก็เดินหงุดหงิดออกมาเท่านั้นแหละ"
คิ้วของผมและพี่อ๊อดขมวดย่นด้วยกันทั้งคู่เลย เราเริ่มจะใจไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราสองคนแล้ว จู่ๆ ผมก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทั้งตัวเลยทีเดียว พอดีพี่รุ่งที่ตื่นขึ้นมาพอดี
"เฮ้ย...เอ็งสองคนเปลี่ยนกันไปนอนบ้างก็ได้ เดี๋ยวพี่ฟังวิทยุเอง"
"ไม่เป็นไรหรอกพี่รุ่ง...ปูกับพี่อ๊อดตอนนี้นอนไม่หลับหรอกครับ..."
ซึ่งจะว่าไป มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
"นอนไม่หลับ งั้นก็ออกไปหาอะไรกินกันไหม?"
ผมและพี่อ๊อดตอบตกลงทันที พร้อมกับลุกขึ้น เดินตามพี่รุ่งเปิดประตูเดินออกไปที่รถเพื่อออกไปหาอะไรกินกันตามที่พี่รุ่งชวน
พวกเราขับตระเวนกันไปพักหนึ่งก็เจอร้านบะหมี่เกี๊ยว...เราสามคนตกลงเห็นดีด้วยกับการสั่งบะหมี่ พอสั่งเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินมานั่งที่โต๊ะ สักครู่คนขายจึงเดินเอาบะหมี่มาให้ แล้วถามเปรยๆว่า...
"อ้าว...พี่ ผู้หญิงในรถไม่ลงมาทานด้วยรึคะ?"
พวกเราสามคนมองหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างแปลกใจ ส่วนผมนั้นเย็นวูบวาบไปทั้งตัว เรารีบมองไปที่รถก็ไม่เห็นมีใครอยู่สักคน แต่เราทุกคนยังคงทำท่าเฉยๆ ไว้ ระหว่างที่กำลังกินบะหมี่อยู่นั้นในหัวผมนั้นคิดอยู่ตลอดเวลาเรื่องที่คนขายบะหมี่บอกให้ชวน ผู้หญิง ที่นั่งในรถลงมากินด้วย
แต่ผมเริ่มเสียวมากขึ้น เมื่อผมกินบะหมี่หมดชาม พี่รุ่งจ่ายเงินเสร็จ เดินนำหน้าไปที่รถ ผมและพี่อ๊อดเดินตามหลังพี่รุ่งมาติดๆ พี่รุ่งขับรถกลับมาเรื่อยๆ ในระหว่างทางนั้นเงียบมาก ไม่มีใครยอมพูดกันสักคนมีแต่เสียง ว. เท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในรถเป็นระยะๆ
ความเงียบทำให้ความโล่งอกโล่งใจของผมหายไปทีละนิดเมื่อผมคิดขึ้นไปเองว่า ถ้าเกิดมีใครมาเคาะกระจกหลัง แล้วผมหันไปเจอในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์จะเจอนั้น ผมจะทำอย่างไรดี แล้วอยู่ๆ ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพี่รุ่งตะโกนขึ้นมาว่า
"เฮ้ย...ใครมีบุ่หรี่มั่งวะ"
เสียงนี้ทำให้ผมและจ่าอ๊อดที่นั่งเงียบอยุ่นาน เอะอะขึ้นมาบ้าง
"โธ่...พี่รุ่ง ตกใจหมด พูดเบาๆ ก็ได้"
จ่าอ๊อดถอนหายใจดังฟู่ พี่รุ่งหัวเราะ ก่อนจะบอกว่า
"แหม... แหม.... ขวัญอ่อนเหลือเกินนะ ไอ้ปู ไอ้อ๊อด"
"ก็ผมคิดเรื่องสยองๆอยู่ นี่พี่"
"เรื่องอะไรของเอ็งวะที่ว่าสยองน่ะ"
พี่รุ่งถามถึงความคิดของผม แต่ผมก็ไม่ได้บอกอะไร ได้แต่บอกว่าเปล่า... ทั้งๆที่ในใจนั้นอยากจะถามถึงเรื่องผู้หญิงคนที่แม่ค้าบะหมี่ถามว่า ทำไมไม่ลงมากินด้วยกัน แต่น่าแปลกที่พวกเรามองไม่เห็นใครเลยสักคน แล้วอยู่ๆ พี่รุ่งก็มีอาการแปลกๆ เมื่อพี่รุ่งเอามือข้างซ้ายมาเขย่าหัวเขาของจ่าอ๊อดอย่างแรง แต่สายตาของพี่รุ่งนั้นไม่หันไปดูจ่าอ๊อดเลย กลับตาค้างจ้องมองไปที่กระจกมองหลัง
"เฮ้ย...เฮ้ย...ไอ้อ๊อด"
เสียงพี่รุ่งสั่นมาก
"อะไรพี่"
พี่รุ่งไม่ยอมพูดอะไรต่อ นอกจากทำท่าชี้ไปที่กระจกมองหลัง จ่าอ๊อดขมวดคิ้วมองหน้าพี่รุ่งอย่าง งงๆ ต่อด้วยการหันไปมองที่กระจก แล้วก็ตาค้าง อ้าปากค้างไปอีกคน
ผมเริ่มตกใจแล้ว แต่พอหันไปมองที่หลังรถก็ไม่พบอะไรจึงโถมตัวไปหาพี่ทั้งสอง และมองไปที่กระจกมองหลังบ้าง แล้วผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายของผมเย็นวาบขึ้นมาทั้งตัวโดยอัตโนมัติ มือเท้าของผมนั้นมีเหงื่อชื้นเต็มไปหมด เมื่อพี่รุ่งถามผมด้วยคำพูดช้าๆ เนิบๆ ว่า
"พวก...เอ็ง...เห็น...อย่าง...ที่...ข้า...เห็น...รึ...เปล่า...วะ...?"
จ่าอ๊อดและผมพยักหน้าพร้อมกันทันทีหลังจากที่เราได้เห็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ไปรับมาจากนิติเวชเมื่อกลางวันนั่งอยู่หลังรถ ผมพูดกับจ่าอ๊อดด้วยเสียงสั่นๆว่า
"จ่า นั่งด้วยนะ..."
จ่าอ๊อดยังไม่ทันตอบอะไร ผมก็ไปนั่งเบียดด้วยทันทีแล้วก็ถามขึ้นมาเบาๆว่า
"ละ...แล้ว เราจะทำยังไงดีล่ะทีนี้?"
"จะทำไงได้ล่ะวะ ก็บอกให้พี่รุ่งแกขับเร็วขึ้นอีกน่ะซิ"
ยังไม่ทันที่จะบอกอะไรเลย พี่รุ่งแกก็เหยียบคันเร่งเร็วขึ้น เราหันไปมองผู้หญิงที่หลังรถ พอไม่เห็นก็โล่งใจ แต่ทุกคนนั่งเงียบ ใจจดใจจ่อว่าจะทำยังไงกันดี ในใจนั้นผมอยากให้พี่รุ่งขับรถให้ถึงจุดศูนย์ให้เร็วกว่านี้
ผมรู้สึกว่าขากลับมันไกลกว่าขาไปมากเหลือเกิน พอไปถึงหน้าศูนย์ พี่รุ่งกับจ่าอ๊อดก็รีบเปิดประตูรถแล้วพากันโกยอ้าวเข้าไปในศูนย์โดยไม่สนใจผมเลยสักนิด
ผมรู้สึกเสียวๆ ยังไงไม่รู้เมื่อตอนคลำหาที่เลื่อนเบาะไม่เจอ เพราะมือไม้สั่นไปหมดแล้ว พอลงมาได้ ผมรีบวิ่งตามไป โดยลืมปิดประตูรถ พอวิ่งมาถึงที่ศูนย์ ผมก็ต้องตกใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะเห็นทุกคนยืนและหันไปมองที่รถ ผมจึงหันไปดูบ้าง แล้วผมก็เห็นผู้หญิงคนนั้นยังนั่งอยู่และโบกมือมาทางพวกเราด้วย
เท่านั้นแหละครับ พวกเราทุกคนถึงกับต้องนัดกันใส่บาตรในตอนเช้า และกลับไปนอนไม่สบายไข้ขึ้นอยู่อีกหลายวันเลยทีเดียว...
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น