"อมร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซาเล้งแปลกหน้า
หมู่บ้านพวกผมที่ริมคลองประปา แถวถนนประชาชื่นนี่เอง ห้ามรถรับซื้อของเก่าเข้าครับ! ติดป้ายตัวโตๆ ใจความคล้ายคลึงกันว่า "ห้ามรถรับซื้อของเก่าเข้าเด็ดขาด" สาเหตุเพราะในอดีตเคยมีพวกขโมยขโจรแฝงเข้ามาในรูปของ "ซาเล้ง" ค่อนข้างหนาตาเอาการ
ขี่รถเข้าซอยนั้นแยกนี้ไปพลาง นัยน์ตาก็สอดส่ายดูบ้านที่เจ้าของไม่อยู่ หรือมีแต่เด็กรับใช้ไปพลาง ได้ทีก็จะเข้าไปจอดรถตีสนิท ขอซื้อนั่นซื้อนี่ในราคาแพงๆ พอได้โอกาสก็ฉกฉวยหรือจี้เอาทรัพย์สินไปอย่างลอยนวล
ไอ้บ้างก็มาดูลาดเลาในตอนกลางวัน เห็นบ้านไหนทำเลเหมาะเจาะน่ายกเค้า ตกกลางคืนก็ยกพวกมาลักขโมย หรือปล้นสะดมเอาซึ่งๆ หน้า
แหม! พูดก็พูดเถอะ อย่าหาว่าผมเข้าข้างซาเล้งเลยครับ ไม่ว่าผู้คนในอาชีพไหนก็ย่อมมีแกะดำปะปนอยู่ทั้งนั้น พวกที่เขาก้มหน้าก้มตาทำมาหากินอย่างสุจริต อาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ พอไปเลี้ยงลูกเมียก็ออกถมเถไป
อ้อ! พวกรปภ.ของหมู่บ้านน่ะไม่ใช่ว่าจะดูแลได้ถ้วนถี่หรือเต็มที่หรอกนะครับ ไม่งั้นคงไม่เกิดปัญหา "โจรในคราบซาเล้ง" เกิดขึ้นเป็นแน่!
และแม้ว่าจะติดประกาศห้ามขึงขังแล้ว ก็ยังมีซาเล้งบางคันดอดเข้าไปสั่นกระดิ่งในซอยลึกๆ เพื่อนบ้านผมเล่าให้ฟังตรงกันหลายคน...อย่างน้อยซาเล้งก็มีประโยชน์ที่ช่วยซื้อหนังสือพิมพ์เก่าๆ ขวดน้ำพลาสติก กล่องนม พวกขวดเบียร์ที่เขาไม่รับซื้อก็ยังอาศัยไหว้วานให้ช่วยขนไปทิ้งถังขยะได้
ผมเองก็คิดถึงซาเล้งเจ้าประจำ เป็นอาเจ๊วัยสี่สิบเศษ นุ่งกางเกงใส่เสื้อแขนยาวสีกรมท่ารัดกุม ท่าทางทะมัดทะแมง พอแกมากดออดประตูผมก็จะรีบออกไปเปิดประตูกว้าง ให้แกขนหนังสือพิมพ์ไปชั่งกิโล พวกหลานๆ ผมบอกว่าแกโกงตาชั่ง อย่างเบาะๆ ก็ต้องเกือบ 10 กิโล แต่ชั่งได้แค่ 4 กิโลเท่านั้นเอง
ต้องตัดบทกับหลานไปว่า ช่างเถอะ เขาจนกว่าเรา!
พวกขวดน้ำกองพะเนินไปน่ะเชิญขนเลยโดยไม่คิดเงิน อาเจ๊แกก็ช่วยตอบแทนด้วยการปัดกวาด ล้างพื้นซีเมนต์ใกล้รั้วให้เรียบร้อย
นี่ปาเข้าไปเดือนกว่าแล้วที่ผมไม่เห็นซาเล้งย่างกรายเข้ามาสักคัน ทั้งหนังสือพิมพ์กับขวดน้ำขวดนม ถุงพลาสติกกำลังรกบ้านเต็มที แต่พวกเศษอาหารจำเป็นต้องให้หลานๆ ช่วยกันขนไปทิ้งถังขยะกลางซอยโน่น ได้อาศัยรถขยะของกทม.บ้าง แต่ยังอดคิดถึงซาเล้งไม่ได้อยู่ดีแหละครับ
เย็นหนึ่ง ฟ้ากำลังครึ้มฝน เสียงกระดิ่งซาเล้งก็ดังแว่วมาเข้าหูทันที!
ปรากฏว่าไม่ใช่อาเจ๊ขาประจำ ที่มาจอดอยู่ใต้ร่มคูนที่แผ่กิ่งก้านร่มครึ้มมาจากในบ้าน แต่เป็นชายชรารูปร่างผ่ายผอม แขนขาเหมือนตะเกียบ สวมหมวกแก๊ปเก่าๆ เห็นผมขาวโพลนที่ท้ายทอยกับข้างหู...ไม่อยากเรียกว่าจอนเพราะมันทั้งชี้ทั้งกระจายออกมา ใบหน้าดูหมองคล้ำซีดเซียว แก้มยุบ มีรอยยับย่นเป็นทางยาวจากโหนกแก้มลงมาถึงมุมปากและแก้มทั้งสองข้าง
ซาเล้งแปลกหน้าคนนี้นุ่งกางเกงสีดำจางๆ สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปล่อยชาย...สีขาวเก่าจนเหลือง เห็นแล้วเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าอายุราว 50 เศษหรือปาเข้าไปเกือบ 70 ปี
ผมเปิดประตูรั้วให้แกมาขนหนังสือพิมพ์ไปชั่งตามใจชอบโดยไม่สนใจกับลมค่อนข้างแรงที่พัดอู้ คล้ายเป็นสัญญาณว่าจะมีฝนตก พอถึงถุงดำใส่ขวดน้ำพลาสติกแกก็รวบปากถุงไปชั่งเลย ผิดกับอาเจ๊ขาประจำที่จะเอาขวดมาเหยียบให้แบนก่อนเพื่อจะได้ขนขึ้นรถสะดวกและได้จำนวนมาก...แต่ผมก็บอกแกเหมือนบอกอาเจ๊ว่าไม่คิดเงินค่าขวดน้ำ
ตอนที่แกส่งธนบัตรเก่าคร่ำให้พลางงึมงำขอบใจ ผมก็ถามขึ้นว่าผ่านรปภ.มาได้ยังไง? แกยกมือขึ้นเกาคางหัวเราะหึๆ จนรอยเหี่ยวยับย่นเป็นร่องลึกตอบเสียงแหบแห้งแทบไม่ได้ยินว่า...พวกมันไม่เห็นอั๊วหรอก!
ลมพัดฮือ เศษกระดาษปลิวว่อน ใบไม้แห้งๆ ร่วงพรู ซาเล้งคันนั้นแล่นอ้าวจากไปจนลับหัวมุม...ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัวเมื่อเห็นร่างผอมๆ ของอาแป๊ะไม่มีหัว! หรือจะตาฝาดไปเองก็ได้?
อ้าว? แบงก์เก่าๆ ราว 60 บาทในมือทำไมกลายเป็นใบไม้แห้งๆ เล่นเอาขนหัวลุกต้องสลัดทิ้งทันที...ผมสะบัดหน้างุนงงเข้าบ้าน รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะจับไข้ขึ้นมาดื้อๆ
โธ่! มารู้ทีหลังว่าตาแป๊ะนั่นถูกรถชนตายที่ถนนหน้าหมู่บ้านเมื่อวันก่อนนี่เอง...มิน่าล่ะ รปภ.ถึงไม่เห็นแกปั่นซาเล้งเข้ามาจนถึงบ้านผมน่ะ!
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น