วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

มองดูดิๆ หัวขาดรออยู่

บ้านร้างหลังใหญ่ อยู่ใกล้ชายหาด ห่างไกลผู้คน

มีบ้านร้างหลังหนึ่ง อยู่ใกล้กับชายหาดที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง 
บ้านร้างหลังนี้ไม่มีใครรู้ว่าเป็นของใคร เป็นบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ไกลผู้คนพอสมควร 
วันดีคืนดีก็จะมีพวกคนจรจัดแอบหลบเข้าไปนอน แต่ไม่สามารถอยู่ได้พ้นตลอดทั้งคืน 
ก็ต้องหนีเตลิดเปิดเปิงออกมาทุกที ต่างคนต่างก็บอกว่าได้ยินเสียงประหลาด แล้วก็เห็นเลือดด้วย 


 อยากลองดี

ทุกอย่างฟังดูแล้วน่ากลัวไปหมดมีเด็กวัยรุ่น 2-3 คน ที่อยากลองดี 
พวกเขาบอกว่า พวกเขาจะอยู่ในบ้านร้างหลังนี้ให้ถึงเช้าให้ได้ 

พอตกค่ำ พวกเขาก็เข้าไปในบ้านร้างหลังนี้ และจัดแจงที่นอนไว้ที่ห้องโถง 
ในบ้านนี้มืดมาก มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่เล็ดลอดเข้ามา 


 นึกว่าคงมีใครเล่นตลก ด้วย

ตกดึกมา ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ แต่มีฟ้าคะนองตลอดเวลา ตรงที่พวกเขานอนอยู่นั้นก็มีน้ำหยดลงมา พวกเขาก็คิดว่าคงจะเป็นฝนรั่ว แต่น้ำนั้นเหม็นมาก แล้วมันก็ไม่ใช่น้ำธรรมดา เพราะมันคือ เลือด พวกเขาเริ่มตื่นกลัว แต่ก็ยังคงคิดอยู่ว่า อาจจะมีใครมาแกล้งเล่นตลกกับพวกเขาก็ได้ 

พวกเขาได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง และมีเสียงฝีเท้าเหมือนกับวิ่งไล่ตามอยู่ 
ไม่ช้าผู้หญิงก็กรีดร้องดังยิ่งขึ้น และพวกเขาก็ได้ยินเสียง
เหมือนของมีคมตัดสับเข้ากับอะไรบางอย่าง เพียงเท่านั้นเสียงก็หายไป 


 อยากลองดี ก็เลยเจอดี สมใจ!!! 

พวกเขาเริ่มโล่งใจ คิดว่าทุกอย่างคงจะจบลงแล้ว ฝนยังตกอยู่และก็มีฟ้าคะนอง ทันใดนั้น 
ฟ้าก็ผ่าลงมากลางบ้าน แสงสว่างทำให้พวกเขาเห็นใบหน้าเละเฟะที่จ้องพวกเขาอยู่ไม่ไกล 
และถือหัวคนอยู่ในมือ พวกเขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปคนละทิศละทาง 
ออกมาท่ามกลางสายฝนและไม่คิดกลับเข้าไปอีกเลย 

รายชื่อถนนมรณะ ...., ถ้ามีโอกาสผ่านไปก้อระมัดระวังกันด้วย

รายชื่อเส้นทางต่อไปนี้เป็นรายชื่อเส้นทางที่มักจะมีอุบัติเหตุเสมอ

อันเนื่องมาจากมีคนผู้ไม่หวังดีมักจะแอบอยู่ข้างทางในตอนกลางคืน และจะโยนก้อนหินเข้าไปที่กระจกหน้ารถของรถที่ขับมาเร็ว ซึ่งโดยมากเป้าหมายก็จะเป็นรถเก๋งหรือรถทัวร์หรือรถมีราคาแพงเป็นหลัก

ทั้งนี้จะด้วยเหตุผลอันใดก็ไม่ทราบได้ว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ด้วย
แต่จากประสบการณ์ของผู้ประสบมาอย่างนึงคือต้องการให้เกิดอุบัติเหตุ
เมื่อผู้ขับและผู้โดยสารเสียชีวิตหรือไม่ก็บาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถช่วยตนเองได้
คนที่แอบอยู่ข้างทางก็จะออกมาทำการปล้นเอาทรัพย์สินไปและหากเขาพบว่าผู้ขับรถ
หรือผู้โดยสารนั้นยังไม่เสียชีวิตเค้าก็จะทำร้ายให้เสียชีวิตไปเลยเพื่อ
ไม่ให้มีประจักษ์พยานหลักฐานในขณะที่อุบัติเหตุแบบนี้แม้จะเกิดขึ้นบ่อย
แต่ทางตำรวจเองก็เอาหูไปนาเอาตาไปไรและก็มักจะทำว่าเป็นคดีอุบัติเหตุ
ไปซะเลยเพื่อไม่ต้องเป็นเรื่องเป็นราวต้องมาสอบสวนอะไรกันอีก...
 
รายชื่อเส้นทางต่อไปนี้เป็นรายชื่อที่มีเหตุการณ์นี้บ่อยครั้ง

1.. เส้นทาง แถวหนองแค สระบุรีเส้นทางนี้เพื่อนชาวเน็ตเพิ่งประสบมาเมื่อสองเดือนที่แล้ว โชคดีที่เป็นกระจกลามิเนตจึงไม่แตกและควบคุมความตกใจได้รถจึงไม่เสียหลัก

2.. เส้นทาง ธนบุรี-ปากท่อ

3.. เส้นทาง Motor Way กรุงเทพ-ชลบุรี

4.. เส้นทาง อ.แกลง-ระยอง

5.. เส้นทาง ลำปาง-เชียงใหม่* เส้นทางนี้ญาติของเพื่อนชาวเน็ตเองเป็นผู้ประสบมา เหตุเกิดเมื่อญาติได้ขับรถเชอโรกีในเส้นทางนี้ ตอนกลางคืนเพื่อเข้าไปจังหวัดเชียงใหม่ และถูกก้อนหินขว้างใส่กระจก ทำให้รถเสียหลักคว่ำหลายตลบ
หลังจากนั้นซึ่งคนส่วนใหญ่ในรถได้เสียชีวิตและแค่สองคนที่เหลือเท่านั้นที่บาดเจ็บสาหัส และได้ถูกไอ้พวกคนชั่วเข้ามาปล้นเอา ทรัพย์สินทั้งหมดไป


6..เส้นทางด่วน รามอินทรา - อาจณรงค์ (กทม)

7.. เส้นทาง กรุงเทพฯ-นครสวรรค์ ช่วง จ.อ่างทอง  

วิญญาณ ...ฝรั่ง ที่โดนสึนามิ ณ หาดป่าตอง

ตายไปแล้วแต่ยังไม่รู้ตัว 
หลายๆ คนคงยังไม่ลืมเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มภาคใต้ ปลายปี 2547 ที่ผ่านมาเหตุการณ์ครั้งนี้นำความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สู่ชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก.... 

นับย้อนไปหลายๆคนคงจะเห็นความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย ทั้งการกู้ศพที่หายไป หรือช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่....

แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ณ.ชายฝั่งหาดป่าตอง 
ก่อนจะมีการสวดส่งวิญญาณ ตอนนั้นเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปได้ประมาณสัก 1 อาทิตย์ 
ทางราชการก็ยังไม่หยุดค้นหาผู้หายสาบสูญ ซึ่งส่วนมากทหารและตำรวจก็จะถูกเกณฑ์ไปให้ช่วยในกรณีนี้ทั้งสิ้น 

อาของข้าพเจ้าเป็นตำรวจอยู่ที่พังงา ก็ได้เลือกรับให้ไปประจำอยู่ที่ศูนย์ค้นหาผู้สูญหายที่หาดป่าตอง และคืนนั้นได้ไปกางเต๊นท์นอนกันอยู่ที่ริมหาดป่าตอง อาของข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่า ไม่รู้ว่านอนหลับไปได้นานแค่ไหนเนื่องจากเหนื่อยจากการค้นหาผู้สูญหายมาก 

มารู้สึกตัวอีกทีก็ค่อนข้างดึกแล้ว...เนื่องจาก เต๊นท์ที่นอนนั้น ได้ถูกแรงเขย่าจนเต๊นท์สั่นไปทั้งหลัง โครงเริ่มไหวเหมือนจะพังลงมาแล้ว อาก็นึกว่าเพื่อนแกล้ง เลยตะโกนออกไปว่า จะนอนแล้วเหนื่อยนะ ไปไกลๆเลย อะไรประมาณนี้ อาก็พลิกตัวไปอีกข้างหนึ่ง 

ก็ลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นเงา ผู้หญิงกำลังนั่งก่อปราสาททรายอยู่ ก็นึกในใจว่าใครมาเล่นทรายตอนนี้ แต่พอคิดอีกทีนึงก็เริ่มกลัว เพราะว่า คิดได้ว่าไม่น่าจะมีใครมานั่งเล่นแบบนี้ สักพักก็มีความรู้สึกว่าเต๊นท์สั่นอีกแล้ว ถึงตอนนี้ก็เริ่มกลัวและจะวิ่งออกไปที่กองกลางเต๊นท์ใหญ่ 

พอออกมาจากเต๊นท์ได้เท่านั้นแหล่ะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าภาพที่ได้เห็นตรงหน้าของอาข้าพเจ้าคือภาพของ ชาวต่างชาติ นับหลายสิบคน กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่อย่างสนุกสนาน บางคนก็นอนอาบแดดอยู่เต็มชายหาดเลย อาของข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบวิ่งไปที่กองกลาง พอหันหลังกลับมามองอีกครั้งนึงก็ไม่เห็นใครอีกเลย

.....นับว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึงที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสงสารเป็นอย่างมาก พวกเข้าเหล่านั้นคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว ยังคงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานและไม่รู้ว่าจะต้องอาบน้ำอยู่ณ.ที่แห่งนี้อีกนานแค่ไหนกัน.... ไปสู่สุคติเถิด.... 

วิญญาณเพื่อนมาเข้าฝัน

"ก้อง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณเพื่อนมาเข้าฝัน

          ผมเคยเชื่อว่า เรื่องฝันเกิดขึ้นเฉพาะคนจิตอ่อนกับผู้หญิงเท่านั้น ส่วนคนที่จิตใจเข้มแข็ง โดยเฉพาะผู้ชายอกสามศอกย่อมจะไม่ฝันร้ายเด็ดขาด แม้จะฝันถึงเรื่องสยองและเห็นภูตผีปีศาจก็ไม่เกิดความหวาดกลัว

          ปรากฏว่าผมเข้าใจผิดครับ!

          ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีสิทธิ์จะฝันร้ายพอๆ กัน ความฝันที่ทำให้เราสะดุ้งผวาจนตกใจตื่นด้วยเหงื่อโซมกาย หัวใจเต้นแรงเหมือนจะพังทลายออกมานอก จดจำภาพในฝันได้ติดหูติดตา

          หลายๆ ครั้งก็หวาดกลัวจนตัวสั่นเทา ปากคอแห้งผาก...อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นและได้ยินมาหยกๆ นั้น มันเป็นแค่ความฝันเพ้อเจ้อ ไร้สาระ หรือว่าเป็นความจริงกันแน่หนอ?

          ผมได้ประสบกับเรื่องสยองเมื่อปีกลายนี้เอง...

          ในบริษัทการเงินแห่งหนึ่งที่ถนนอโศก ผมมีเพื่อนที่สนิทสนมกันจริงๆอยู่สองคน...ชนิดที่เรียกว่า "เพื่อนซี้" ได้เต็มปาก นิสัยใจคอคล้ายๆ กันตรงที่มองโลกในแง่ดี จิตใจผ่องใสเบิกบาน ชอบเที่ยวเตร่พอหอมปากหอมคอ เรื่องครอบครัวไม่ต้องเป็นห่วงเพราะหนุ่มวัยใกล้สามสิบยังไม่มีห่วงผูกคอ

          เงินทองไม่ค่อยมีปัญหาหรอกครับ แทบจะเรียกว่าเป็นกระเป๋าเดียวกันก็ยังได้ ใครขาดแคลนก็ได้เพื่อนช่วยหยิบยื่นให้ ไม่มีการสนใจว่าใครจะให้ใครไปเท่าไหร่ คิดดูซีครับว่าพวกเรารักใคร่กันขนาดไหน?

          กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ถ้าอดก็อดด้วยกัน...วันดีคืนดีก็เกือบตายด้วยกัน!

          มาโนชที่ทางฐานะทางบ้านล่ำซำกว่าเพื่อน ลูกคนรวย ว่างั้นเถอะ! พ่อซื้อรถเก๋งใหม่เอี่ยมให้ตั้งแต่เข้าทำงานที่นี่เมื่อ 2-3 ปีก่อน ส่วนผมกับวิทยาเรียกว่าชนชั้นกลางละมั้ง เพราะไม่มีรถเก๋ง ไม่ถึงกับต้องโหนรถเมล์ แต่อาศัยแท็กซี่ทั้งไปทำงานและกลับบ้าน

          คืนไหนไปเที่ยวเตร่ด้วยกัน ถ้าไม่เมามากนัก มาโนชจะเป็นฝ่ายขับรถไปส่งเพื่อนแถวคลองเตยกับกล้วยน้ำไท ตัวเองอยู่บางนาโน่น แต่คืนไหนค่อนข้างหนัก ผมกับวิทยาก็จะขึ้นแท็กซี่กลับกันเอง

          วันหนึ่งเกิดเหตุร้าย...หลังจากเที่ยวผับตั้งแต่เย็นจนดึก เมาเพียบไปตามๆกัน...มาโนชขอตัวขับรถกลับบ้านเลย เพราะพรุ่งนี้ต้องมาทำงานแต่เช้า แต่เรามารู้ข่าววันรุ่งขึ้นว่ามาโนชหลับใน พุ่งรถชนเสาไฟฟ้าแหลกยับ ตัวเองถูกอัดกับพวงมาลัยตายคาที่

          ผมไม่เคยร้องไห้มานมนาน แต่ก็ต้องเสียน้ำตาเมื่อไปงานศพของเพื่อนรัก วิทยาเองก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน

          มีคนถามไถ่เราว่าเพื่อนมาเยี่ยมหรือเปล่า? คำตอบก็คือเปล่าเลย คงขึ้นสวรรค์ไปแล้วละมั้ง? จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป มาโนชก็กลับมา!

          ผมฝันเห็นเพื่อนบ่อยๆ บางทีก็ติดๆ กัน 2-3 คืน ในฝันนั้น มาโนชดูสดใสร่าเริงเหมือนเดิม เราพูดคุยกันด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่...ผมรู้ดีว่าเพื่อนตายไปแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อยนิด

          เมื่อเล่าให้วิทยาฟัง สังเกตว่าเขาหน้าซีดเผือด กลืนน้ำลาย บอกว่ามาโนชก็มาเข้าฝันเช่นกัน ในสภาพปกติเหมือนตอนมีชีวิต...แต่เมื่อเราถามเพื่อนคนอื่นๆ กลับได้รับคำตอบว่าไม่มีใครฝันถึงมาโนชเลย

          จนกระทั่งถึงคืนสุดท้าย!!

          ผมฝันว่านั่งรถไปกับมาโนชตอนกลางคืน ไม่รู้ว่าเป็นรถเก๋งหรือรถทัวร์กันแน่? แต่เห็นเราสองคนนั่งคู่กันทางด้านขวา มาโนชนั่งติดหน้าต่างเหม่อมองดูเงาไม้ดำทะมึนข้างทางผ่านไปลิ่วๆ ลมหนาวพัดอู้เข้ามาจนเย็นสะท้าน ก่อนจะหันมาถามยิ้มๆ ว่า...ไปด้วยกันมั้ย?

          ในฝันนั้นผมรู้แน่ว่ามาโนชตายไปแล้วเหมือนทุกครั้ง ผมก็ตอบว่า...ไม่ละเพื่อน! ยังไม่ไปหรอก...มาโนชก็พยักหน้า หันไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม ไม่หันมาชวนซ้ำหรือเซ้าซี้อีกต่อไป..

          วันรุ่งขึ้น ผมเล่าความฝันให้วิทยาฟัง เขาก็พยักหน้าช้าๆ นัยน์ตาเลื่อนลอยไป พูดเสียงแหบเครือว่า...ฝันเห็นมาโนชมาชวนแบบเดียวกัน แต่เขารับปากว่าตกลง ไปไหนก็ไปกัน!

          สาบานได้ว่าตอนนั้นผมยังหัวเราะ...เออ! ไปเที่ยวไหนก็มาเล่าให้ฟังด้วยละกันนะ

          ผมนึกว่ามาโนชจะชวนเพื่อนไปดูอะไรแปลกๆ แต่แล้วก็ไม่มีโอกาสได้รู้เลยครับ เพราะคืนนั้นวิทยาเข้านอนแล้วไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย...ใครๆ ก็พูดกันว่าหัวใจวาย แต่ผมเชื่อมั่นว่ามาโนชมารับวิทยาไปสู่ปรโลกตามที่ตกลงกันไว้

ประสบการณ์ขนหัวลุกโรงแรมจิงหรีด

สมัยหนุ่มผมได้ชื่อว่าเป็นนักเที่ยวฉกาจฉกรรจ์คนหนึ่ง ในฐานะเด็กกรุงเทพฯ ตัวจริงเสียงจริง คือเกิดและเรียนหนังสือจนโตเป็นหนุ่มอายุต้นสามสิบ ก็ตะลอนๆ อยู่ในเมืองหลวงนี่แหละครับ ต่างจังหวัดนานๆ ถึงจะโผล่ไปเที่ยวสักครั้ง

          บ้านช่องที่ไม่ใช่ห้องหออยู่ถนนทรงวาดครับ แถวราชวงศ์หรือเยาวราชนี่ถือว่าบ้านตัวเองเพราะย่ำเป็นเทือกจนทะลุปรุโปร่ง เติบกล้าเข้ายิ่งมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ เลยได้เที่ยวไปถึงตรอกเต๊าตรอกโพธิ์ ยันโรงหมูและตรอกสลักหิน หัวลำโพง ที่มีคุณตัว...สมัยนั้นเรียกว่า "ผีเสื้อราตรี" คึ่กๆ ใครว่าแถวนั้นนักเลงเยอะคงไม่จริงมั้งครับ

          โธ่! ก็เพื่อนๆ ผมน่ะล้วนแต่นักเลงเรียกพี่ จะเข้าตรอกไหนซอยใดไปยันรองเมืองหรือข้ามฟากไปสะพานเหลือง บอกได้คำเดียวว่าหายห่วงจริงๆ เอ้า!

          แถววงเวียน 22 กรกฎา (ไม่มีคม) ก็หยอกอยู่หรือนั่น

          อ้อ! สมัยนั้นถือว่าเป็นแหล่งกิน, เที่ยวและเล่นนะครับ ไม่ว่าใครชอบอะไรเป็นมีสนองทุกอย่าง โรงแรมใหญ่ๆ อย่างไทเป, 22 กรกฎา คึกคักแทบทั้งวันทั้งคืน โรงแรมเล็กๆ อย่างไมตรีจิตต์, สันติภาพ ฯลฯ ก็ดาษดื่นไปหมด รวมทั้งโรงแรมไร้ชื่อตามซอยแคบๆ ขนาดพอเดินสวนกันได้ บันไดขึ้นก็อยู่ติดกับทางเดินนั่นเอง...สนใจเลี้ยวขวับขึ้นไปได้ทันที

          ไม่ว่าบนวงเวียนหรือตามโรงแรมจิ้งหรีดที่ว่า จะมีผีเสื้อราตรีมา  เตร็ดเตร่คอยล่าเหยื่อหนาตา ประมาณว่าไม่ต่ำกว่าร้อยคนขึ้นไป!

          ต่อมาเรียกว่าผีเสื้อราตรีไม่ถูกต้องแล้วละครับ เพราะพวกเธอมาเดินส่ายอกบิดสะโพกตอนกลางวันก็มี...นักเที่ยวเรียกกันว่า "รอบเช้ากับรอบค่ำ" ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ รอบเช้าน่ะราวแปดโมงก็มายืนเตร่ สอดส่ายสายตาหาเหยื่อกันแล้ว ราวสี่ซ้าห้าโมงเย็นถึงจะหายหน้าไป คราวนี้ก็ถึงเวลาของพวกรอบค่ำออกมาครอบครองพื้นที่แทนไปจนดึกดื่นค่อนคืน

          พวกนักเที่ยวล้วนยืนยันตรงกันว่ารอบเช้าขาวสวยหมวยอึ๋มกว่ารอบบ่าย...แต่ทุก คนจะถือถุง "โชคดี" เป็นเครื่องหมายการค้า พวกรอบเช้ามักจะมาจากที่อื่น แต่พวกรอบเย็นส่วนมากเช่าห้องโรงแรมจิ้งหรีดอยู่ต่างบ้านไปเลย

          อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่ากับรุ่นพี่ที่พาผมขึ้นไปดูตัวตามห้องเลย เพราะสนิทกับหลงจู๊และสาวๆ ที่เช่าห้องอยู่ถาวร

          บางวันเราก็นึกครึ้มไปเปิดห้องโจ้เหล้า คุยกันเรื่องบ้าๆ บอๆ ตามประสาขาเมา...ผมเคยเมาจนไม่อยากกลับบ้าน ขอนอนค้างที่นั่นเลย...คืนแรกก็เจอดีเข้าเต็มเปาเลยแหละคุณ!

          คืนนั้นเพื่อนๆ กลับกันหมดแล้วผมก็หลับสนิทอยู่บนเตียงเก่าแก่ ไม่ต้องมีมุ้งแบบก่อนเพราะมีมุ้งลวดตามยุคสมัย...ไม่แน่ใจว่ากำลังตกอยู่ใน ความฝันหรือลืมตาตื่นกันแน่ เมื่อได้ยินเสียงลากเกี๊ยะโกรกกรากไปมาอยู่หน้าห้อง ตามด้วยกลิ่นแป้งน้ำฉุนเฉียว สะกดความรู้สึกให้พร่ามึนอย่างประหลาด...

          เสียงทุบประตูดังขึ้น 3-4 ครั้ง ผมอยากจะร้องถามว่าใคร? หรือลุกไปเปิดดูให้รู้แน่ แต่ทำไมหนังตามันหนักอึ้งเหลือเกิน...เนื้อตัวก็เหมือนถูกถ่วงด้วยท่อนเหล็ก จนแทบขยับไม่ไหว...ได้ยินเสียงโครม! แล้วชายกำยำก็ถลันพรวดเข้ามา

          "เฮ้ย..." ผมคิดว่าร้องออกไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้ยินเสียงตัวเองแม้แต่นิดเดียว...เห็นหญิงสาวผมยาวนุ่งโสร่งดอกหนา เผ่นออกจากเตียง พร้อมๆ กับชายนั้นแช่งด่าดุเดือดพลางเงื้อมีดขึ้นจ้วงอกหญิงสาวอย่างเ...้ยมเกรียม

          ผมพลิกตัวจนหล่นพลั่กตกเตียงตอนนั้นเอง!

          เสียงแผดร้องโหยหวนชวนสยองดังลั่นห้อง เลือดแดงฉานพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ โสร่งดอกหนาหลุดลุ่ยกองกับพื้น สะโพกหนั่นหนาและท่อนขาอวบขาวมีเลือดแดงๆ ไหลย้อยลงมา ขณะที่ชายนั้นเงื้อมีดขึ้นอีกครั้ง...คราวนี้กะซวกลงที่ทรวงอกตัวเองจนมิด ด้าม

          ผมอ้าปากค้างตะลึงงัน เมื่อชายหญิงคู่นั้นหันขวับมาหาผมเหมือนเพิ่งจะมองเห็นร่างอาบเลือดและแววตา ขุ่นขวางที่จ้องมอง เล่นเอาผมแทบสติแตกในบัดดล!

          นรกเป็นพยาน! ร่างอุบาทว์ทั้งสองก้าวเข้ามาหาช้าๆ ขณะที่กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งจนแทบขย้อน...ผมอยากจะเผ่นหนี แต่ก็ลุกไม่ไหว ได้แต่ตะกายหนีถอยหลังตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด แต่ร่างหญิงชายจากอเวจีก็ยังก้าวเข้ามา...ก้าวเข้ามาไม่หยุดยั้ง

          สุดจะทนทานได้แล้ว ผมรู้สึกเหมือนสมองกำลังระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ร้องตะโกนแทบคอแตก แต่ได้ยินเสียงแว่วๆ เท่านั้นเอง...ก่อนที่สรรพสิ่งจะวูบวับดับหายไปในพริบตา!

          สะดุ้งตื่นขึ้นมา ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวสั่นเทา หอบฮั่กๆ รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นกระทบโพรงอก เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มหน้าผาก...สองแก้มเปียกโชกด้วยน้ำตาเหมือนกำลังตกอยู่ ในความฝันไม่ผิดเลย

          รีบผลุนผลันออกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำรวม แล้วเผ่นออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าตรู่...ตั้งแต่นั้นมาผมไม่กล้าไปนอนโรงแรม ที่ไหนคนเดียวอีกเลย...ไม่อยากขนหัวลุกครับ!

ประสบการณ์ขนหัวลุก เรื่อง ซาเล้งแปลกหน้า


"อมร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซาเล้งแปลกหน้า

          หมู่บ้านพวกผมที่ริมคลองประปา แถวถนนประชาชื่นนี่เอง ห้ามรถรับซื้อของเก่าเข้าครับ! ติดป้ายตัวโตๆ ใจความคล้ายคลึงกันว่า "ห้ามรถรับซื้อของเก่าเข้าเด็ดขาด" สาเหตุเพราะในอดีตเคยมีพวกขโมยขโจรแฝงเข้ามาในรูปของ "ซาเล้ง" ค่อนข้างหนาตาเอาการ

          ขี่รถเข้าซอยนั้นแยกนี้ไปพลาง นัยน์ตาก็สอดส่ายดูบ้านที่เจ้าของไม่อยู่ หรือมีแต่เด็กรับใช้ไปพลาง ได้ทีก็จะเข้าไปจอดรถตีสนิท ขอซื้อนั่นซื้อนี่ในราคาแพงๆ พอได้โอกาสก็ฉกฉวยหรือจี้เอาทรัพย์สินไปอย่างลอยนวล

          ไอ้บ้างก็มาดูลาดเลาในตอนกลางวัน เห็นบ้านไหนทำเลเหมาะเจาะน่ายกเค้า ตกกลางคืนก็ยกพวกมาลักขโมย หรือปล้นสะดมเอาซึ่งๆ หน้า

          แหม! พูดก็พูดเถอะ อย่าหาว่าผมเข้าข้างซาเล้งเลยครับ ไม่ว่าผู้คนในอาชีพไหนก็ย่อมมีแกะดำปะปนอยู่ทั้งนั้น พวกที่เขาก้มหน้าก้มตาทำมาหากินอย่างสุจริต อาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ พอไปเลี้ยงลูกเมียก็ออกถมเถไป

          อ้อ! พวกรปภ.ของหมู่บ้านน่ะไม่ใช่ว่าจะดูแลได้ถ้วนถี่หรือเต็มที่หรอกนะครับ ไม่งั้นคงไม่เกิดปัญหา "โจรในคราบซาเล้ง" เกิดขึ้นเป็นแน่!

          และแม้ว่าจะติดประกาศห้ามขึงขังแล้ว ก็ยังมีซาเล้งบางคันดอดเข้าไปสั่นกระดิ่งในซอยลึกๆ เพื่อนบ้านผมเล่าให้ฟังตรงกันหลายคน...อย่างน้อยซาเล้งก็มีประโยชน์ที่ช่วยซื้อหนังสือพิมพ์เก่าๆ ขวดน้ำพลาสติก กล่องนม พวกขวดเบียร์ที่เขาไม่รับซื้อก็ยังอาศัยไหว้วานให้ช่วยขนไปทิ้งถังขยะได้

          ผมเองก็คิดถึงซาเล้งเจ้าประจำ เป็นอาเจ๊วัยสี่สิบเศษ นุ่งกางเกงใส่เสื้อแขนยาวสีกรมท่ารัดกุม ท่าทางทะมัดทะแมง พอแกมากดออดประตูผมก็จะรีบออกไปเปิดประตูกว้าง ให้แกขนหนังสือพิมพ์ไปชั่งกิโล พวกหลานๆ ผมบอกว่าแกโกงตาชั่ง อย่างเบาะๆ ก็ต้องเกือบ 10 กิโล แต่ชั่งได้แค่ 4 กิโลเท่านั้นเอง

          ต้องตัดบทกับหลานไปว่า ช่างเถอะ เขาจนกว่าเรา!

          พวกขวดน้ำกองพะเนินไปน่ะเชิญขนเลยโดยไม่คิดเงิน อาเจ๊แกก็ช่วยตอบแทนด้วยการปัดกวาด ล้างพื้นซีเมนต์ใกล้รั้วให้เรียบร้อย

          นี่ปาเข้าไปเดือนกว่าแล้วที่ผมไม่เห็นซาเล้งย่างกรายเข้ามาสักคัน ทั้งหนังสือพิมพ์กับขวดน้ำขวดนม ถุงพลาสติกกำลังรกบ้านเต็มที แต่พวกเศษอาหารจำเป็นต้องให้หลานๆ ช่วยกันขนไปทิ้งถังขยะกลางซอยโน่น ได้อาศัยรถขยะของกทม.บ้าง แต่ยังอดคิดถึงซาเล้งไม่ได้อยู่ดีแหละครับ

          เย็นหนึ่ง ฟ้ากำลังครึ้มฝน เสียงกระดิ่งซาเล้งก็ดังแว่วมาเข้าหูทันที!

          ปรากฏว่าไม่ใช่อาเจ๊ขาประจำ ที่มาจอดอยู่ใต้ร่มคูนที่แผ่กิ่งก้านร่มครึ้มมาจากในบ้าน แต่เป็นชายชรารูปร่างผ่ายผอม แขนขาเหมือนตะเกียบ สวมหมวกแก๊ปเก่าๆ เห็นผมขาวโพลนที่ท้ายทอยกับข้างหู...ไม่อยากเรียกว่าจอนเพราะมันทั้งชี้ทั้งกระจายออกมา ใบหน้าดูหมองคล้ำซีดเซียว แก้มยุบ มีรอยยับย่นเป็นทางยาวจากโหนกแก้มลงมาถึงมุมปากและแก้มทั้งสองข้าง

          ซาเล้งแปลกหน้าคนนี้นุ่งกางเกงสีดำจางๆ สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปล่อยชาย...สีขาวเก่าจนเหลือง เห็นแล้วเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าอายุราว 50 เศษหรือปาเข้าไปเกือบ 70 ปี

          ผมเปิดประตูรั้วให้แกมาขนหนังสือพิมพ์ไปชั่งตามใจชอบโดยไม่สนใจกับลมค่อนข้างแรงที่พัดอู้ คล้ายเป็นสัญญาณว่าจะมีฝนตก พอถึงถุงดำใส่ขวดน้ำพลาสติกแกก็รวบปากถุงไปชั่งเลย ผิดกับอาเจ๊ขาประจำที่จะเอาขวดมาเหยียบให้แบนก่อนเพื่อจะได้ขนขึ้นรถสะดวกและได้จำนวนมาก...แต่ผมก็บอกแกเหมือนบอกอาเจ๊ว่าไม่คิดเงินค่าขวดน้ำ

          ตอนที่แกส่งธนบัตรเก่าคร่ำให้พลางงึมงำขอบใจ ผมก็ถามขึ้นว่าผ่านรปภ.มาได้ยังไง? แกยกมือขึ้นเกาคางหัวเราะหึๆ จนรอยเหี่ยวยับย่นเป็นร่องลึกตอบเสียงแหบแห้งแทบไม่ได้ยินว่า...พวกมันไม่เห็นอั๊วหรอก!

          ลมพัดฮือ เศษกระดาษปลิวว่อน ใบไม้แห้งๆ ร่วงพรู ซาเล้งคันนั้นแล่นอ้าวจากไปจนลับหัวมุม...ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัวเมื่อเห็นร่างผอมๆ ของอาแป๊ะไม่มีหัว! หรือจะตาฝาดไปเองก็ได้?

          อ้าว? แบงก์เก่าๆ ราว 60 บาทในมือทำไมกลายเป็นใบไม้แห้งๆ เล่นเอาขนหัวลุกต้องสลัดทิ้งทันที...ผมสะบัดหน้างุนงงเข้าบ้าน รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะจับไข้ขึ้นมาดื้อๆ

          โธ่! มารู้ทีหลังว่าตาแป๊ะนั่นถูกรถชนตายที่ถนนหน้าหมู่บ้านเมื่อวันก่อนนี่เอง...มิน่าล่ะ รปภ.ถึงไม่เห็นแกปั่นซาเล้งเข้ามาจนถึงบ้านผมน่ะ!

ประสบการณ์ขนหัวลุก เรื่อง อาหารจากเมืองผี

  "เลื่อมรุ้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของอาหารจากเมืองผีA เชื่อกันว่า ความเร้นลับเหนือธรรมชาติย่อมจะมีอยู่ทั่วไป ไม่ว่าในป่าเขาลำเนาไพร แม่น้ำลำคลอง และหาดทรายชายทะเล

          ในชนบทค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว หรือแม้แต่ในเมืองที่แพรว พราวด้วยแสงสี อึกทึกครึกโครมด้วยเสียงเครื่องจักรเครื่องยนต์ และรถราน้อยใหญ่ทั้งหลาย เป็นศูนย์กลางของความศิวิไลซ์แค่ไหน...ก็ไม่วายที่จะเกิดเรื่องเร้นลับน่าอัศจรรย์ และพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้

          ดิฉันมีเรื่องน่าสยองที่เกิดขึ้นกลางวันแสกๆ มาเล่าให้ฟังค่ะ

          บริษัทของเราตั้งอยู่ในตึกชั้น 16 ย่านดาวน์ทาวน์ที่เจริญทางเทคโนโลยีสุดๆ แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก็ยังอุตส่าห์เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมาจนได้

          เมื่อตอนต้นปี มีพนักงานสาวใหญ่บริษัทแห่งหนึ่งที่อยู่ชั้น 7 หัวใจวายในลิฟต์ จะมีสาเหตุมาจากเบาหวานกำเริบจนช็อก หรือเพราะแพ้ยาลดความอ้วนก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ทำให้คนที่ต้องใช้ลิฟต์เกิดอาการสะดุ้งผวาไปตามๆ กัน

          แต่ส่วนมากก็ไม่มีใครพบเห็นเหตุการณ์สยองขวัญอะไร จนกระทั่งอาการปอดกระเส่า หรือกลัวผีค่อยๆ จางไป

          น้าปอง-แม่บ้านหุ่นตุ้ยนุ้ยของบริษัทเราโดนผีหลอกในลิฟต์สยองขวัญนั่นเอง!

          เธอเล่าว่า วันนั้นออกไปสั่งหอยทอดกับผัดไทยมาให้พนักงานหลายคน ขณะที่หอบหิ้วอาหารกลางวันถุงใหญ่ขึ้นลิฟต์มาก็รู้สึกเสียวสันหลังชอบกล แต่ยังอุ่นใจที่มีคนอื่นๆ อยู่ในลิฟต์ด้วย...จนก่อนจะถึงชั้น 16 เขาออกไปกันหมด เหลือเธออยู่คนเดียว...กำลังจะถึงจุดหมายอยู่แล้วเชียวก็เกิดเรื่องสยองขึ้นก่อน

          จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ ตัวแข็งทื่อ จ้องมองไปข้างหน้านิ่งๆ ทำให้น้าปองขนลุกซ่า หันขวับไปมองอย่างลืมตัว

          พนักงานสาวใหญ่ที่หัวใจวายตายไปแล้วนั่นเอง!

          โลกหมุนเคว้งคว้างไปหมด ใบหน้าขาวซีดค่อยๆ หันมามอง น้าปองร้องกรี๊ดๆ จนประตูลิฟต์เปิดพอดี...เธอวิ่งถลาเข้ามาล้มแผละ ถุงอาหารหล่นจากมือ ห่อหอยทอดกับผัดไทยกระจายเกลื่อน...ปล่อยโฮออกมาจนพวกเราตกอกตกใจไปตามๆ กัน

          คราวนี้จะเข้าลิฟต์ไม่ว่าขึ้นหรือลงก็ต้องรอคนอื่นๆ ด้วย กลัวว่าจะเจอภาพสยองแบบน้าปองน่ะสิคะ

          ในที่สุดก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นอีกครั้งจนได้!

          น้าปอง-ลงลิฟต์ไปตอนบ่ายสองโมงเศษอย่างรีบร้อนจนลืมเรื่องกลัวผี เพื่อไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวเจ้าอร่อยให้หัวหน้า คือพี่พรรณราย-เธอทำงานเพลินจนลืมอาหาร เกือบหนึ่งชั่วโมงน้าปองถึงได้นำก๋วยเตี๋ยวมาแกะถุงใส่ชามพร้อมกับเครื่องปรุงมาให้เรียบร้อย

          พอพี่พรรณรายเงยหน้าขึ้นมอง ก็ปรากฏว่าน้าปองออกจากห้องไปโดยไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว แถมปิดประตูห้องเรียบร้อยอีกด้วย!

          จนกระทั่งมีโทรศัพท์ขึ้นมาบอกว่าน้าปองเป็นลมตายในลิฟต์ชั้นล่าง มือยังกำแบงก์ใบละหนึ่งร้อยบาทเอาไว้แน่น

          ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อลิฟต์เปิดออกก็มีผู้เห็นเธอนอนฟุบ งอเข่า มือกำเกร็ง นัยน์ตาเหลือกลานเบิกโพลง... แสดงว่าเธอยังไม่ได้ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้หัวหน้าน่ะสิคะ...แล้วจะเอากลับขึ้นไปใส่ชามในห้องเครื่องดื่มทางหลังตึกได้ยังไงกัน? แถมยกก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยมาให้หัวหน้าอีกต่างหาก

          พี่พรรณรายหน้าขาวซีด ทำท่าพะอืดพะอมบอกไม่ถูก ฝืนยิ้มทั้งๆ ที่หน้าตาคล้ายจะร้องไห้ บอกว่าน้าปองเอาก๋วย เตี๋ยวมาให้ก่อนจะลงไปข้างล่าง?

          ถ้าเช่นนั้น น้าปองจะกำแบงก์ร้อยไว้ในมือทำไม?

          อาจจะมีเหตุผลว่า คนอื่นจะวานน้าปองลงไปซื้อของอีก แต่ถามใครก็ปฏิเสธทั้งนั้น...โดยเฉพาะเหตุผลสำคัญก็คือ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท แต่น้าปองไม่ได้ส่งเงินทอน หรือแม้แต่วางบนโต๊ะให้หัวหน้า ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน

          พี่พรรณรายอุตส่าห์หาทางออกให้ตัวเองด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า...น้าปองอาจจะลืมไป

          เพื่อไม่ให้ปัญหาคลุมเครือหรือคาใจพวกเรา นายอั้น-พนักงานใหม่ต้องรับหน้าที่ไปถามแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวว่าน้าปองมาซื้อ "เล็ก, ชิ้น, ไม่งอก" ตอนเวลาเท่านั้นเท่านี้หรือเปล่า?

          ไม่ช้านายอั้นก็หน้าซีดปากสั่นเขาบอกเสียงแหบแห้งว่า...วันนี้ยังไม่เห็นหน้าน้าปองสักครั้งเดียว! แล้วก๋วยเตี๋ยวชามนั้นมาจากไหน?

          พี่พรรณรายวิ่งเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ...เป็นใครก็คงคลื่นไส้เหมือนกันเมื่อรู้ว่าได้เปิบพิสดารโดยไม่ได้ตั้งใจ ...กินก๋วยเตี๋ยวจากเมืองผีน่ะสิคะ!!

ประสบการณ์ขนหัวลุก ที่สี่พระยา

"ปวัตต์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสี่พระยา

          บริษัทประกันภัยที่ผมทำงาน อยู่แถวสี่พระยานี่เองครับ ความเจริญไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะเป็นย่านธุรกิจการค้าที่ใหญ่เป็นอันต้นๆ ของกรุงเทพฯ มาหลายสิบปีแล้ว

          ตอนเที่ยงๆ พนักงานบริษัทและห้างร้านกรูเกรียวกันออกไปหามื้อเที่ยงกิน มองจากตึกสูงๆ เห็นแต่หัวดำๆ เหมือนมดเหมือนปลวกไม่มีผิด

          เฉพาะบริษัทผมแห่งเดียวก็ปาเข้าไปตั้งเกือบ 100 คน! เมื่อราว 2-3 ปีก่อน เกิดเรื่องสยองติดๆ กัน คือพนักงานสาวกินยาตายในห้องน้ำ สาเหตุจากปัญหาท้องไม่มีพ่อ กับอกหักกระโดดตึกที่หนังสือพิมพ์เขาเรียกว่า "โหม่งโลก" ฆ่าตัวตายนั่นแหละครับ ตึกสูงสิบกว่าชั้นจะไปมีอะไรเหลือล่ะ?

          "พี่แอ๋ว" ผู้ช่วยฝ่ายการเงินไปเข้าห้องน้ำ เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มหมดสติ กว่าจะมีคนไปพบและนำส่งโรงพยาบาล พี่แอ๋วก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เกือบหนึ่งเดือนก่อนจะสิ้นชีวิต

          เพิ่งจะเผาศพเธอไปหยกๆ "น้องหมวย" สาวสวยประจำแผนกบริการลูกค้า เพิ่งจะออกจากห้องน้ำมาหยกๆ กลับมานั่งโต๊ะเดี๋ยวเดียวก็ทะลึ่งพรวดขึ้นสุดตัว ก่อนจะล้มฮวบลงบนพื้น มือหนึ่งตะกายเก้าอี้ ที่ลูกล้อมันลื่นหนีไปเรื่อยๆ พอเพื่อนๆ วิ่งมาดูก็แตกตื่นร้องวี้ดว้ายไปตามๆ กัน

          น้องหมวยเอียงหน้าซบกับท่อนแขน ปากอ้า นัยน์ตาลืมค้าง...เบิกโพลงเหมือนมองเห็นภาพที่สยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!

          ชั่วเวลาเดือนเศษๆ มีทั้งฆ่าตัวตาย 2 ราย กับตายด้วยอุบัติเหตุ รวมทั้งหัวใจวายอย่างละ 1 ราย...ปาเข้าไปตั้ง 4 ศพ จะไม่ให้คนขวัญอ่อนกลัวผีได้ยังไง?

          พนักงานส่วนมากมักหน้าตาไม่ค่อยเสบยนัก ดูซีดๆ เซียวๆ ยังไงชอบกล มักจะเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยอาการหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา เรียกว่าแทบจะไม่มีกะจิตกะใจทำงานก็คงจะไม่ผิดนัก

          มีเสียงซุบซิบว่าเจ้าที่แรงบ้าง ผีดุบ้าง เมื่อราว 3 ปีกว่าๆ มาแล้วเคยมีคนงานเช็ดกระจกพลัดหล่นลงไปคอหักตาย เชื่อว่าวิญญาณที่เจ็บปวดคงจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ไม่ยอมไปผุดไปเกิด กลายเป็นวิญญาณดุร้าย เฮี้ยนจัด ตามรังควานคนชะตาขาดเพื่อเอาไปอยู่เมืองผีติดๆ กันถึง 4 คน จนอกสั่นขวัญหายกันไปทั้งบริษัท

          พอจะซาไปหน่อย อ้าว? น้าติ๋ม-แม่บ้านประจำชั้นเราเกิดเป็นลมตายในห้องพักขึ้นมาดื้อๆ

          ห้องที่ว่าจะเรียกกันว่า "ห้องกาแฟ" คือมีทั้งตู้เย็น กาน้ำร้อน ชั้นวางขวดเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำชา กาแฟ โกโก้ โอวัลติน น้ำตาลและคอฟฟี่เมต สำหรับบริการพนักงานอาวุโสกับแขกเหรื่อที่มาติดต่อธุรกิจแทบทั้งวัน

          มีโต๊ะอาหารเล็กๆ กับเตียงเตี้ยๆ สำหรับนั่งพักผ่อน แต่ไม่ถึงกับเอนหลังหรอกครับ เพราะมีแขกมากหน้าหลายตาจนน้าติ๋ม กับผู้ช่วยชื่อพี่แป้งไม่ค่อยมีเวลาหยุดหย่อนเท่าไรนัก

          วันเกิดเหตุ มีลูกค้ามาติดต่อเรื่องเคลมประกันตอนใกล้งานเลิกพอดี

          พี่แป้งเล่าว่าน้าติ๋มชงกาแฟสองที่ วางซองน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตไว้ที่จานรองเรียบร้อย แล้วส่งให้เธอเอาไปบริการที่ห้องลุงอรรถ-หัวหน้าแผนก แต่พอกลับมาก็เห็นน้าติ๋มนอนหลับตา เอียงหน้านิดๆ ปากอ้าเผยอเหมือนคนนอนหลับ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะแยกมาหยกๆ นี่เอง

          น้าติ๋มตายแล้ว! พี่แป้งวิ่งออกจากห้องกาแฟมาร้องไห้โฮจนพวกเราลุกพรวด  ผมวิ่งไปดูก็เห็นน้าติ๋มสิ้นลมไปแล้วจริงๆ พวกผู้หญิงที่ตามหลังมาทำท่าเหมือนจะเป็นลมเป็นแล้งต้องไล่กลับไปที่โต๊ะหมดทุกคน

          บ้างก็ว่าน้าติ๋มเป็นลมตาย บ้างก็ว่าโรคหัวใจกำเริบ และบ้างก็ว่าโดนผีหลอก!!

          พี่แป้งไม่กล้าทำงานต่อ จะลาออกท่าเดียว หัวหน้าต้องเรียกน้าแหม่มจากชั้นบนลงมาช่วยงานและอยู่เป็นเพื่อน พี่แป้งยังไม่วายขวัญหนีดีฝ่อ ต้องตามน้าแหม่มแจ...ขนาดจะเข้าห้องน้ำพี่แป้งยังต้องขอให้น้าแหม่มอยู่หน้าห้องเลยครับ

          เวลาผ่านไปเกือบเดือน พวกเรากำลังจะลืมเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็พอดีมีลูกค้าเก่ามาหาลุงอรรถ ดูเหมือนจะมาเยี่ยมเยียนธรรมดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เลขาฯ หน้าห้องก็บอกไปทางน้าแหม่ม พี่แป้งที่อยู่ใกล้ๆ ก็กุลีกุจอหยิบน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตมาใส่จานรองเตรียมพร้อม

          น้าแหม่มหันมายื่นถ้วยกาแฟให้...แต่ใบหน้านั้นกลับกลายเป็นใบหน้าของน้าติ๋มที่ตายไปแล้วชัดๆ โลกของพี่แป้งแตกกระจายในพริบตานั่นเอง

          เสียงร้องกรี๊ดๆ เหมือนเกิดไฟไหม้ พวกเราเห็นพี่แป้งร้องไห้โฮ นัยน์ตาเหลือกลาน พูดไม่เป็นภาษานอกจากชี้ไม้ชี้มือไปข้างหลัง ได้ยินแต่ว่า...น้าติ๋ม! ผีน้าติ๋ม! โอย...

          พี่แป้งลาออกไปแล้ว ไม่ว่าใครจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อก็ไม่ฟังเสียง ยืนยันแต่ว่า...ตกงานยังดีกว่าโดนผีหลอกจนช็อกตาย!

โรงพยาบาลผีสิง ในกรุงเทพฯ! !!

โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แห่งนี้ ตั้งอยู่กลางซอยราชครู
สนามเป้าเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี่เอง. ...


เข้าซอยไปราว 100 เมตรเศษ อยู่ทางซ้ายมือ 
ด้านหน้ามีรั้วและสนามหน้าตึกสามชั้น รับตรวจรักษาโรคต่างๆ 
เหมือนโรงพยาบาลทั่วไป คนไข้ก็เข้าออกกันหนาตา 
รวมทั้งญาติมิตรที่ไปเยี่ยมคนป่วยต้องนอนโรงพยาบาล

จู่ๆ โรงพยาบาลนี้ก็เลิกกิจการไปโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัด... .

ลือกันว่าขาดทุนบ้าง ขาดแพทย์และพยาบาลบ้าง เจ้าที่แรงบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ 
กลายเป็นโรงพยาบาลร้าง ประตูรั้วปิดตาย ไม่ช้าก็มีเถาไม้เลื้อยพันขึ้นมารกรุงรัง 
ยามค่ำคืนคนที่ผ่านไปมามองเห็นตึกร้าง มีแต่ความทึบทึมเปล่าเปลี่ยว 
นอกจากจะเกิดความวังเวงใจแล้วยังรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบไปตามๆ กัน

คนแถวนั้นที่ผ่านไปมาตอนกลางคืน เล่าว่า... .

ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางโหยหวนน่าขนลุกดังมาจากตึกชั้นบน

อาหมู - คนรับเหมาก่อสร้างเดินกลับบ้านมาพร้อมกับเมียชื่อเจ๊แดง 
          บอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เยือกเย็นมาจากตึกร้าง 
          พอหันไปมองอย่างลืมตัวก็เห็นผู้หญิงยืนอุ้มลูกอยู่ที่หน้าต่างชั้น 2 
          เล่นเอาวิ่งแข่งกันเป็นลมพัด...เจ๊แดงจับไข้อยู่หลายวัน 
          สบถสาบานว่าจะไม่ยอมเดินผ่านโรงพยาบาลผีสิงตอนกลางคืนอีกต่อไป

น้าวีระ - เซลส์แมนสบถสาบานว่า ขนาดนั่งตุ๊กตุ๊ก เข้าซอยมาแท้ๆ 
           ยังเห็นรถเข็นคนไข้เปล่าๆ แล่นไปมาอยู่หน้าตึกร้าง 
           ไม่มีทั้งคนนั่งและคนเข็น หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนขึ้นทั้งซอย

คนขับตุ๊กตุ๊กคงจะเห็นเหมือนกันเลยห้อตะบึงจนเลยทางเข้าบ้าน 
น้าวีระสั่งจอด พอโดดลงมาคนขับก็บึ่งรถไปโดยไม่แยแสค่าโดยสาร...ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน

ป้าณี - แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่ก้นซอยอารีสัมพันธ์ 1 เล่าว่า 
         ออกไปซื้อของที่ตลาดสะพานควายตอนเช้ามืด พอเดินผ่านโรงพยาบาลร้างที่ตั้งตะคุ่ม
         อยู่ในความมืดสลัว หันไปมองโดยไม่ตั้งใจก็เห็นไฟสว่างพรึ่บบนชั้น 2 กับชั้น 3 
         ที่เป็นห้องพักคนไข้ รวดเดียว ป้าณีวิ่งไม่คิดชีวิตไปถึงถนนใหญ่...
         ตั้งแต่นั้นมาจะไม่ยอมออกไปซื้อของก่อนสว่างเป็นอันขาด

"น้าอ้วน" อยู่ใกล้ๆ บ้านป้าณี เป็นสาวโสดฐานะดี มีอาชีพออกเงินกู้ อยู่กับแม่ที่ชรามากแล้ว
เจอฤทธิ์เดชของปีศาจโรงพยาบาลร้างรุนแรงยิ่งกว่าทุกคน ขนาดเอาชีวิตเป็นเครื่องสังเวย!

วันนั้น น้าอ้วนไปเก็บดอกเบี้ยไปถึงซอยอารี ซอยสีฟ้า ลูกหนี้ชวนไปดื่มเบียร์ฟังเพลงที่คาเฟ่
หน้าโรงหนังนิวยอร์ก...ติดลมจนเกือบ สองยาม ถึงได้เดินเซนิดๆ มาขึ้นแท็กซี่แยกกันกลับบ้าน

แทนที่จะเข้าซอยอารี เลี้ยวซ้ายผ่านโรงแรมมายเฮ้าส์ไปอารีสัมพันธ์ 1 
จะได้ไม่ผ่านดงผีดุ แต่กลับเลยไปเข้าทางซอยราชครูจนได้. ...

ท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจ 
แท็กซี่เจ้ากรรมคันนั้นเกิดเบรกเอี๊ยดที่หน้าประตูรั้วสนิมเขรอะดื้อๆ
เล่นเอาน้าอ้วนแทบสร่างเมา ชะโงกหน้าเข้าไปถามว่าจอดที่นี่ทำไม? 
คำตอบเล่นเอาขนหัวลุกพรึ่บทันที

"ก็รถพยาบาลเขาจะเลี้ยวเข้าไป พี่ไม่เห็นรึ?"


"รถผีสิงน่ะซิ..." น้าอ้วนหลุดปากได้แค่นั้นก็ลิ้นแข็ง เบิกตาโพลงบัดดล

นรกเป็นพยาน! รถตู้สีขาวคันหนึ่งกำลังเลี้ยวช้าๆ ผ่านหน้ารถแท็กซี่ 
แล่นทะลุประตูเหล็กที่มีไม้เลื้อยรุงรังเข้าไปในโรงพยาบาลร้าง...
ก่อนจะจาง หายไปต่อหน้าต่อตา

น้าอ้วนร้องด่าอย่างลืมตัว รู้สึกเหมือนมีความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า 
แท็กซี่ร้องเฮ้ย! เข้าเกียร์ออกรถมือไม้สั่น ขับพรวดพราดไปจอดหน้าซอย 
บอกว่าไม่ยอมเข้าไปเด็ดขาด เดี๋ยวจะบึ่งตรงไปออกทางคลองประปา 
น้าอ้วนจะอ้อนวอนเท่าไหร่ก็ไร้ผล

เดินร้องไห้ซมซานมาถึงบ้านก็เป็นลมไป รุ่งขึ้นเพื่อนบ้านได้ข่าวก็ไปเยี่ยม
น้าอ้วนเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังกระท่อนกระแท่น เดี๋ยวหัวเราะร่วน
เดี๋ยวก็ร้องไห้โหยหวนเยือกเย็นไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน

อีกราว 3-4 วันต่อมา น้าอ้วนก็ผูกคอตายในห้องน้ำชั้นล่าง 
ไม่มีใครทราบสาเหตุแท้จริงว่าเป็นเพราะอะไรแน่...แต่ก็ลือกันว่าโดนวิญญาณ
ร้ายมาเอาชีวิตเพราะปากคอร้ายกาจของแกเอง 

วิญญาณยังอยู่

ป้านิด ป้าสะใภ้ใจดีที่สุดในโลกของผมเป็นคนเพชรบุรีครับ เมื่อปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยวที่นั่นตั้งอาทิตย์หนึ่งแน่ะ สนุกดี แถมไปเจอเรื่องขนหัวลุกที่นั่นด้วย

บ้านของป้าเป็นบ้านสวน มีทั้งมะนาว กระท้อน ชมพู่ มะพร้าว...ลุงผมปลูกไว้เอง แต่ลุงตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นผมยังเล็กมาก ราว 3-4 ขวบเท่านั้น เหมือนพี่จอยกับพี่โจ ลูกของลุงป้าที่แก่กว่าผมแค่ 2-3 ปี

พอลุงตาย ป้านิดก็เลี้ยงลูกๆ ตามลำพัง ซึ่งก็อยู่กันได้สบายมากเพราะป้านิดขยัน แกมีฝีมือด้านตัดเย็บเสื้อผ้าด้วย และมีจักรคู่ชีพอยู่หนึ่งหลัง บรรดาลูกค้าก็เป็นเครือญาติและคนในหมู่บ้าน นอกจากนั้น ยังเก็บผลไม้ต่างๆ ในสวนมาขายริมทางหลวงแทบทุกเสาร์-อาทิตย์

ป้านิดมีญาติชื่อป้าแขกกับลุงสิทธิ์ เป็นเจ้าของสวนตาล และมีรถกระบะขนลูกตาลสดๆ มานั่งปอกนั่งเฉาะกันริมทาง เวลารถนักท่องเที่ยวผ่านไปมาก็จะแวะซื้อ บางรายสนิทสนมเป็นขาประจำกันเลยเชียว สินค้าที่ขายเป็นผลไม้ตามฤดูกาลและน้ำตาลสดที่ผมกับน้องแก้มชอบมากที่สุด

จริงๆ แล้วผมไม่เคยไปบ้านสวนของป้านิดหรอกครับ แต่ปีนี้ป้านิดมาเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ พี่จอยพี่โจมาค้างบ้านผมตั้งหลายวัน แล้วก็เลยชวนผมไปเที่ยวทางโน้นบ้าง ผมกับน้องแก้มนึกสนุก น้องแก้มน่ะติดพี่จอยคนสวยมากๆ เลยด้วย

ผลก็คือเราได้นั่งรถไฟไปบ้านสวนของป้านิดกัน ขากลับพ่อแม่จะไปรับ...เราจะเที่ยวหัวหินต่ออีกสองคืนแล้วค่อยกลับบ้าน นับเป็นปิดเทอมที่สนุกมากจริงๆ

บ้านป้านิดน่าอยู่ครับ อบอุ่นดี ชั้นล่างเปิดโล่งตลอด มีจักรเย็บผ้า ทีวี และโต๊ะกินข้าว มีครัวอยู่ด้านหลัง ป้านิดทำอาหารอร่อยมาก นอกจากป้านิดกับลูกๆ แล้วยังมีครอบครัวของน้ากุ้งอาศัยอยู่ด้วยที่ห้องชั้นล่างนี่ อยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก น้ากุ้งมีลูกสาวสามขวบน่ารักดี ชื่อน้องเมย์

ผมได้นอนห้องพี่โจซึ่งเป็นห้องนอนเล็ก ส่วนน้องแก้มนอนกับพี่จอยและป้านิดที่ห้องนอนใหญ่ติดกัน บ้านนี้มีแอร์ด้วยครับ แต่ถ้าไม่ร้อนนักจะเปิดพัดลมกัน เปิดแอร์เฉพาะนอนตอนกลางคืน

วันแรกที่ไปถึง พอเอาเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บ ผมมองออกนอกหน้าต่างไปที่บ้านข้างๆ ได้อย่างชัดเจน เป็นบ้านไม้สองชั้นไม่ได้ทาสี มีต้นไม้ร่มครึ้ม มะม่วงต้นใหญ่อยู่ถัดไปไม่ไกล ตอนแรกผมไม่เห็นอะไรผิดปกติหรอกครับ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ดีๆ ก็เห็นเด็กผู้ชายนั่งห้อยขาอยู่ที่กิ่งใหญ่ของมะม่วงต้นนั้น

แดดตอนเที่ยงๆ สว่างจ้า แต่ในต้นมะม่วงดูมืดครึ้ม ท่าทางจะไม่ร้อนนัก เด็กคนนั้นนั่งอยู่อย่างน่าเสียวไส้ กิ่งมะม่วงนั่นสูงเอาการ...คือสูงกว่าหน้าต่างชั้นสองที่ผมยืนมองอยู่ซะอีก เด็กคนนี้อายุราวสิบขวบ ผมเกรียน ใส่เสื้อกล้ามสีขาวมอๆ นุ่งกางเกงนักเรียนสีกากี เขานั่งห้อยขาอย่างสบาย มือสองข้างถือมะม่วงกัดกินอย่างอร่อย

เฮ้อ! กินเข้าไปได้ยังไงทั้งเปลือก นั่งไม่นั่งเปล่า แกว่งขาซะด้วย เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก ท่าทางจะทั้งซนทั้งแก่นน่าดู!

ทันใดนั้น เขาหันมามองผม ฮู้! นัยน์ตาเขาแดงก่ำเห็นชัด...แดงเป็นเลือดเลย! สงสัยไม่สบายหรือไม่ก็เป็นตาแดง แต่แปลกนะ เขาทำให้ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว ขนหัวก็ลุกด้วยเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เขายิ้มให้ ผมก็เลยยิ้มตอบ

เสียงป้านิดเรียกผมลงไปกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นที่เป็นรถเข็นผ่านมาหน้าบ้าน...พวกเราสั่งก๋วยเตี๋ยวกินกัน ผมอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองมะม่วงต้นเดิม...เด็กคนนั้นก็มองเราอยู่ ป้านิดถามว่า ผมมองอะไร ผมก็ตอบตรงๆ ว่าเด็กบ้านนั้นไง! เก่งจัง นั่งกินมะม่วงอย่างสบาย...น่าจะเรียกลงมากินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน

พอผมพูดอย่างนั้นน้ากุ้งก็ทำช้อนตกจากมือ คนขายก๋วยเตี๋ยวสะดุ้งโหยง ร้องเฮ้ย! ไม่ใช่สะดุ้งน้ากุ้งนะครับ เขาสะดุ้งที่ผมพูด แล้วเหลียวไปมองอย่างหวาดกลัวเอาจริงๆ จังๆ

...เด็กที่ผมเห็นไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกครับ! ตายละ...ผมทำให้คนที่นี่ขวัญผวากันไปหมดเลย...เด็กข้างบ้านน่ะตายมาสามเดือนแล้ว ตกต้นมะม่วงลงมาตายคาที่! คนขายก๋วยเตี๋ยวบอกว่าคนที่ผ่านไปมาเห็นอยู่เป็นประจำ แสดงว่าวิญญาณของเด็กยังไม่ไปไหน

พี่โจปิดหน้าต่างที่เปิดออกไปข้างบ้าน ไม่ยอมเปิด ไม่ยอมให้ผมพูดถึง ผมยอมรับว่าสยองตลอดเวลาที่อยู่บ้านป้านิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน...แต่อย่างน้อยผมก็มีเรื่องผีไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังตอนเปิดเทอมละครับ!

ประสบการณ์ขนหัวลุก แท็กซี่สยองขวัญ

"โน้ต" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแท็กซี่สยอง 

เมื่อเดือนที่แล้วผมพาน้องแก้มแฟนของผมไปดูหนังรอบดึกแถวอนุสาวรีย์ กว่าหนังจะเลิกก็ตีหนึ่งกว่าแล้วล่ะครับ เราต้องออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อไปส่งแก้มถึงบ้านที่รามอินทรา 

อากาศคืนนั้นเย็นสบายเพราะฝนเพิ่งหยุดตก มันชุ่มฉ่ำและโรแมนติกน่าดู เมื่อผมออกมาริมถนนก็มองเห็นแท็กซี่คันหนึ่งสีชมพูจอดอยู่ริมขอบทางเพื่อรอรับผู้โดยสาร ผมตรงดิ่งไปที่รถคันนั้นทันที แต่น้องแก้มดึงมือผมไว้ก่อน 

"นั่น! มีคนขึ้นไปแล้ว รอเรียกคันอื่นเถอะ" เธอพูดเบาๆ น้ำเสียงปกติ แต่ผมซิต้องแปลกใจมากเชียว เพราะภายใต้แสงไฟสว่างจ้า ผมไม่เห็นมีใครขึ้นแท็กซี่คันนั้นเลยสักคน 

"ตาฝาดรึเปล่าจ๊ะแก้ม? พี่ไม่เห็นใครเลยนะ" ผมพูดขำๆ แต่เธอไม่ขำด้วย มองหน้าผมงงๆ แล้วบอกว่าจริงๆ นะ เมื่อกี้มีผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่งเดินจูงมือกันอยู่ ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่ แก้มยังเห็นว่าผู้ชายนุ่งกางเกงยีนส์ขาลีบ สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ส่วนผู้หญิงนุ่งขาสั้น เสื้อแขนพองสีแดงลายสกอต! 

เห็นละเอียดขนาดนั้นเชียวล่ะครับ 

แก้มเล่าว่าคนทั้งคู่เปิดประตูรถแท็กซี่ด้านหลังขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตู แต่เธอเอะใจว่าทำไมแท็กซี่ยังจอดนิ่งอยู่ ไม่ออกรถไปซะที มิหนำซ้ำตัวผมเองก็ทำท่าตรงรี่จะไปขึ้นรถคันนั้น 

น้องแก้มทำตาปริบๆ อย่างงงงันและบอกผมว่า เดินไปดูกันดีกว่า ว่ามีคนนั่งในแท็กซี่คันนั้นหรือไม่? 

มือเธอเย็นเฉียบขณะที่ผมจูงเธอไปชะโงกดู และเห็นชัดๆ ว่าเบาะหลังว่างเปล่า...โชเฟอร์ขยับตัวพร้อมที่จะบริการเรา น้องแก้มครางแล้วบอกว่าเธอกลัวมาก ไม่กล้าขึ้นรถคันนี้ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ แถวนี้เหลือแท็กซี่อยู่คันเดียวและมันก็ดึกมากแล้วด้วย 

ผมเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่ง น้องแก้มทำหน้ามุ่ยเหมือนอยากร้องไห้ ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวตามผมเข้ามา ผมบอกให้โชเฟอร์ใช้ทางด่วนเลยจะได้ถึงบ้านน้องแก้มเร็วๆ 

ในรถคันนั้นทีแรกก็มีกลิ่นใบเตยหอมๆ ผมเห็นใบเตยมัดใหญ่กองสุมอยู่ด้านหลังของเบาะ แต่พอนั่งไปเรื่อยๆ ผมเกิดได้กลิ่นคล้ายโรงพยาบาล มันแปลกมากครับ น้องแก้มเองก็คงได้กลิ่นเหมือนกัน...กระตุกมือผมแล้วเบียดตัวเข้ามาท่าทางหวาดกลัวอะไรบางอย่าง 

ราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านน้องแก้มโดยปลอดภัย ผมส่งเธอเข้าบ้านแล้วใช้บริการแท็กซี่คันเดิมให้ไปส่งที่ศรีย่าน บ้านผมอยู่แถว นั้นครับ 

ขณะที่นั่งรถมาตามลำพัง ผมก็ได้ทีถามโชเฟอร์ว่ารถคันนี้มีอะไร รึเปล่า? โชเฟอร์พูดว่า "ไม่มีอะไรหรอกพี่ แต่พี่ถามขึ้นมาก็ดีแล้ว ผมรู้สึกมีอะไรแปลกๆ" 

มันแปลกยังไงหรือครับ? 

โชเฟอร์เล่าว่า ตลอดทางที่วิ่งมา เขามองกระจกหลังและเห็นเป็นคนสี่คนนั่งอยู่ คือมีผมกับน้องแก้มซึ่งนั่งชิดกันแถวกลางเบาะ แต่มีเงาของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านน้องแก้ม และผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านผม! จะว่าตาฝาดหรือเงาหลอนก็ไม่ใช่ 

เอาละสิ! ผมชักหนาวๆ ร้อนๆ เลยพูดกับโชเฟอร์ตามตรงว่า ก่อนที่ผมจะเปิดประตูมานั่งในรถเขาน่ะ แฟนผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามานั่งก่อน! 

"ผมบอกจริงๆ นะพี่ ว่าก่อนพี่จะมาถึงรถผมน่ะ ผมรู้สึกว่ารถผมมันยวบเหมือนมีใครขึ้นมานั่งจริงๆ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรไง...โอย! ผมจะทำไงเนี่ย?" 

ขากลับนี่เราไม่ได้ขึ้นทางด่วนนะครับ แต่มาตามทางปกติ และเรื่องที่เราสอบถามกันไปมานี่น่ะ ทำเอาเราหนาวๆ ร้อนๆ ทั้งคู่ 

ทันใดนั้น โชเฟอร์ร้องออกมาเบาๆ "โอ๊ย! พี่...ผมไม่ไหวแล้ว" 

เขาเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันข้างทางแล้วรีบลงจากรถทันที ผมก็ตาเหลือกสิครับ รีบตะกายลงจากรถตามเขาแล้วถามว่าอะไรเหรอ? เขาเห็นอะไร? 

"ผมเห็นอีกแล้ว! ผู้ชายผู้หญิงคู่นั้น เขานั่งอยู่ข้างพี่! ไม่ใช่ผีแล้วอะไรล่ะ?" 

เขายืนยันว่าในรถเขาไม่เคยมีประวัติภูตผีปีศาจใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่อยู่ในรถต้องเป็นผีจากแถวอนุสาวรีย์แน่ๆ เป็นใครมาจากไหน? ตายยังไงก็สุดรู้! ผมเดาว่าคงเป็นหนุ่มสาวจากปรโลกที่ชวนกันมาเที่ยว...โธ่! แล้วมานั่งแท็กซี่นี่ทำไม? จะไปไหนกันหรือครับ? 

โชเฟอร์มือไม้อ่อน บอกว่าขับไม่ไหวแน่ๆ ต้องจอดอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีผู้โดยสารเรียก หรือจนกว่าจะเช้า ส่วนผมต้องเรียกแท็กซี่คันอื่นกลับบ้านล่ะครับ!